วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[หนัง] แครอล

____________________

อันที่จริงหนังแรกที่ดูของปีคือ Snap - เป็นหนังไทยเรื่องแรกที่เราชอบการสื่อความรู้สึกมาก เรื่องต่อมาคือ Big short เป็นการแฉด้านมืดของระบบทุนนิยยมที่ล้มตอนปี 50 มั้ง เป็นเรื่องถ่ายทอดออกมาได้ดีทีเดียว เหมือนโดนประวิติศาสตร์ฟาดแรงๆ แต่ด้วยความที่ดูผ่านไปสักัพกแล้ว เลยไม่รีวิวนะ (ฮา)

ไม่ได้เขียนนาน มึนๆหน่อยนะ
____________________



หากโลกนี้มีตัวละครหญิงสตรีที่สมบูรณ์แบบสำหรับอเมริกันชนยุคศตวรรษที่ 19 แครอลก็คงเป็นลุคนั้น ผู้หญิงผมบลอนด์โค้ทเฟอร์ ริมฝีปากแดง ในขณะที่เทเรซ เป็นตัวละครหญิงที่ดูจะเป็นตัวประกอบของหนังในยุดนั้นเสียมากกว่า หรือเป็นบทบาทตัวละครเสริม ที่ถูกชักจูงไปทางที่คนอื่นต้องการอย่างง่ายดาย

มาพูดถึงเทเรซ ดูเหมือนจะเป็นตัวละครที่ตื้นเขิน ไม่มีแรงจูงใจอะไรในชีวิตเป็นพิเศษ หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม ทำงาน มีหนุ่มๆมารุมชอบ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวชอบใครมั้ย รู้แต่ว่าเธอไม่เคยปฎิเสธใครเท่าไหร่นัก จุดยืนที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของตัวละครน่าจะเป็นการที่เธอชอบถ่ายรูปมาก ขนาดที่เห็นการถ่ายรูปน่าสนุกกว่าไปเที่ยวยุโรป - นั่นหมายความว่าเธอไม่ได้ให้ความสัมพันธ์กับเรื่องราวหรือสถานที่ เพียงแต่เธอชอบในการกระทำที่จะเก็บภาพต่างๆเหล่านั้นเอาไว้

พัฒนาการของตัวละครถูกถ่ายทอดออกมาจากรูปที่เธอถ่าย จากประโยคที่เพื่อนของเธอบอก "สนใจมนุษย์คนอื่นบ้างสิ" จากเดิมที่เธอเป็นตัวละครที่แทบจะ isolate จากโลกโดยสิ้นเชิง ก็ถูกผูกเข้ากับโลกทีละน้อย - ในที่นี้คือแทนด้วยภาพแครอล (เรามาเข้าใจเอาทีหลังตอนที่เธอเทภาพทุกอย่างมากองรวมกัน) เราไม่ได้โฟกัสที่ love at first sight เท่าไหร่ ด้วยความรู้สึกส่วนตัวและคิดว่ามันอาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความ "สนใจ" เสียมากกว่า แครอทดึงเทเรซเข้าสู่โลกใบนี้ และขนานนามเธอว่าเป็น "คนที่มาจากนอกโลก"

บรรยากาศที่ใช้รถเกียร์กระปุก กล้องฟิล์ม เขียนใบเสร็จรับเงินด้วยมือ การส่งของด้วยไปรษณีย์ ใช้ตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญ เจอกันแบบนัดเวลา มันเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบหลักที่ทำให้ตัวเรื่องดูกลมกล่อม ทั้งความคลาสสิคและกลิ่นอายของคริสมาสต์ ถ้าเป็นคนที่ชอบบรรยากาศพวกนี้(เช่นเรา) ก็ไม่ยากที่จะหลงไปกับบรรยากาศของเรื่อง

"แครอล" ไม่ใช่ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบอย่างที่เราเห็นในแว่บแรก ในโลกที่คนสมบูรณ์แบบถูกนิยามไว้นั้น คือ ครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่แครอลกำลังจะสูญเสียมันไป ไม่ว่าด้วยเหตุผลนั้นจะเป็นอะไร ตัวตนที่ดูจะมั่นคงและทรงเสน่ห์ของเธอมันถูกสั่นคลอนจนน่ากลัว เพราะเธอกำลังจะสูญเสียสิทธิ์ในการดูแลลูกสาวไป ดูพายุปัญหาที่โหมเข้ามา เธอทำได้เพียงทิ้งปัญหาไว้ตรงนั้น และออกเดินทาง โดยมีเพื่อนร่วมทางเป็นคนที่ดูจะเป็นรักครั้งใหม่ของเธอ

อธิบายยากว่าความสมเหตุผลของเนื้อเรื่องมันเกิดจากเนื้อเรื่องจริงๆ หรือเป็นเพราะเราถูกนักแสดงที่แสดงเก่งจริงๆทำให้หลงเชื่อเสียเต็มประดา


"สิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันทำเพื่อเธอได้ คือการปล่อยเธอไป"


เป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจช่วงหนึ่งของตัวหนัง สายโทรศัพท์ไม่ช่วยให้คนทั้งสองใกล้กันเลยห่างทั้งสองไม่ส่งเสียงหากัน สิ่งที่เราว่าสมเหตุสมผลที่สุดดูจะเป็นความรักของแครอลต่อลูก ที่เธอพยายามทำทุกอย่างจริงๆ เพื่อลูก แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเธอ...



________________________
จปถ.
สายตาเฟลิร์ทของแครอล เหมือนจะแนบเนียน แต่ก็โจ่งแจ้งจนคนมองต้องใจสั่น (เข้าใจได้ว่าทำไมเทเรซถึงพร้อมจะเซย์เยสกับทุกอย่าง) เพราะเทเรซแสดงตัวออกมาว่าเป็นฝ่ายที่ดูใสซื่อ เห็นโลกมาน้อยกว่า สายตาเธอสดใสเหมือนคนที่จะรับอะไรใหม่ๆเข้าไปได้ เธอดูเหมือนแทบไม่มีกำแพงตอนอยู่ด้วยกัน ความผูกพันธ์ที่ค่อยๆดำเนินไปตามเทศกาลต่างๆในชีวิตของทั้งสองคน มันอาจจะดูวูบวาบแต่ก็ละมุนละไมไปพร้อมกัน (นี่ก็ไม่รู้ว่าเพราะภาพมันสวยหรือเปล่าเลยรู้สึกละมุนขนาดนี้) ความรักมันคงไม่ต้องการเหตุผล เพราะงั้นในตัวหนังแทบไม่แสดงออกมาเลยด้วยซ้ำว่าเหตุผลและที่มาที่ไปคืออะไร

มันคงเป็นความแตกต่างในแง่วัฒนธรรมละมั้งที่เราอาจจะต้องการเหตุผลมารองรับความรู้สึกต่างๆ มากกว่าที่ตัวหนังนำเสนอ บางอย่างจึงอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันดูเบาไปไม่หน่อย (แต่เพราะรอยยิ้มกระชากใจของป้าเรายอมได้ 5555) 


โลกที่ทั้งสองอยู่มันเหมือนคนละมิติ แต่ความบังเอิญบางอย่างที่ทำให้ทั้งสองคนหมุนเข้ามาเจอกัน และตัดสินใจสานต่อความสัมพันธ์กันไปละมั้ง เลยทำให้รู้สึกถึงความโรแมนติกของเรื่องนี้

อ่า ใช่ เพลงประกอบดีมากอ่ะ เพิ่มอารมณ์ได้เยอะมาก และรูปที่ถ่ายในเรื่องสวยมาก
หลงเต็มๆ

_______________________

หนังเลสเบี้ยนเรื่องที่สองในชีวิต
หลงเจ๊เคทเต็มๆ ดูแล้วเขินแรงมาก 5555

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

[หนัง] นักอัพนมอิสระ

เรื่องดังกล่าวคือ ฟรีแลนซ์ (เต๋อ-นวพล)

เราแอบให้คำนิยามกับเรื่องนี้ว่า "หนังโลกสีเทา"
ซึ่งมีความหมายว่า หนังที่แสดงชีวิตจริงนั่นแหล่ะ  (ถึงจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่เราก็นิยามไปแล้วว่าโลกใบนี้เป็นสีเทาๆ แบบปนมาเจนต้าบ้าง เหลืองบ้าง เป็นสีตุ่นๆ)


หนึ่งในฟรีแลนซ์เสนอให้เรามองถึงเรื่อง "คนที่มีความสุขกับการทำงาน" ในแง่ที่ ชีวิตเขาไม่ได้มีความสุขกับอย่างอื่นนอกจากงานเลย - ถึงขั้นหมกมุ่นกับงาน ชีวิตอย่างอื่นก็ไม่มีอีกเลย มีแต่ความคำว่างาน

เราไม่ได้จะมาบอกว่ามันไม่ดีนะกับชีวิตแบบนั้น เพราะในช่วงชีวิตหนึ่งเราก็มีอะไรที่คล้ายๆแบบนั้น การสนใจแต่งาน อยู่กับตัวเอง ทำสิ่งที่ใฝ่ฝัน มันไม่ทำให้ชีวิตเงียบเหงาหรอก ..จนกว่าจะวางงานนั่นแหล่ะ ความเงียบหรือพื้นที่ว่างมันถึงจะกลืนเข้ามา แผ่ขยายอาณาเขตตัวเองเข้าในตัวเรา วันที่เราทำอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากงาน และไม่สามารถมีความสุขได้ ตรงนั้นที่จะกลายเป็น "ปัญหา" ในชีวิตขึ้นมา

นอกจากนี้แล้วความทุ่มเทให้งานของยุ่นเป็นเรื่องที่เราก็รู้สึกเหมือนโดนแทงใจ "มันไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เรารับงานมา มันก็ต้องเสร็จ แค่นั้นแหล่ะ" ยิ่งชีวิตที่การทำงานแนวนั้นของเราส่วนใหญ่เป็นงานฟรี งานกิจกรรม ถึงจะเป็นของเด็กๆก็เถอะ แต่ความรู้สึกหนักอึ้งของการรับผิดชอบ คิดแค่ว่ามันต้องเสร็จ ยังไม่ได้นึกถึงเงินหรืออะไรเยอะแยะ อย่างที่ยุ่นลืมกระทั่งไปขึ้นเงิน คือ บางทีเราไม่ทันคิดหรอกว่าผลของการทำงานมันจะมีอะไรต่อ แต่การทำให้เสร็จถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

ไอ้ "ไม่ทันคิด" นี่แหล่ะ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดึงเราให้ติดตามจนจบ

เพราะไม่ทันคิดถึงผลที่ตามมา เลยโหมงานมากมาย จนเป็นโรคอะไรไม่รู้
เพราะไม่ทันคิด รู้ตัวอีกที ข้างตัวเลยแทบจะไม่เหลือใครแล้ว
เพราะไม่ทันคิด รู้ตัวอีกที ก็หายใจไม่ได้เสียแล้ว

ใช่ แม้ว่ายุ่นจะมีเพื่อนคนสำคัญที่คอยเคียงข้างเวลาลำบาก แต่ว่าชีวิตของเพื่อนคนสำคัญไม่ได้อยู่กับเราได้ตลอดเวลา วันหนึ่งเขาก็ต้องจากเราไป - เราไม่ได้พูดถึงการสนับสนุนให้มีคู่หรือแต่งงานอะไรแบบนั้นนะ แค่เสนอว่ายุ่นนั้นไม่มีสังคมอื่นเลย พอเวลาเขานึกย้อนกลับมาจริงๆ

เหมือนว่าเขาจะแทบไม่เหลือใครเลย


หมออิมเป็นคนกระชากเขาออกจากโลกของตัวเอง
ในสัญลักษณ์ของ "หมอ" และ "คนที่ชอบ"
คือสองอย่างที่เขาละทิ้งไปนานแล้ว นั่นคือสุขภาพ และความรู้สึกของตัวเอง

รายละเอียดสนุกๆของการพบหมอ คิวยาว ความจริงรัฐและเอกชน ฯลฯ หนังก็เล่าออกมาได้ดี (แม้ว่าหมอจะดูกล้าจับรอยโรคต่างๆมากไปหน่อยก็เถอะ)


หมอเป็นอาชีพที่โคตรตรงข้ามกับฟรีแลนซ์ - โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์กราฟฟิคละกัน
(แม้จะเป็นสองอาชีพที่เราใฝ่ฝันทั้งคู่ก็ตาม)
ใครๆก็ว่ามั่นคง ใครๆก็ว่าหนักแต่จะสบายภายหลัง ใครๆก็ว่างั้นงี้
ในขณะเดียวกันก็มีจุดร่วมกันมากมาย เรียกว่าเหมือนเลยยังได้ ถ้าเรามองข้ามรูปแบบการทำงานไป



ส่วนเรื่องที่จะต้องไปจีบหมอมั้ย หรือควรกลับบ้านไปเยี่ยมแม่หรือเปล่า หรือบลาๆ ที่หนังให้ทุกคนไปคิดต่อเอาเองว่า ชีวิตตัวเองจะเหมาะกับช้อยส์แบบไหน - ที่แน่ๆคือควรรักษาสุขภาพตัวเองบ้าง เป็นสิ่งที่ควรทำจริงๆนะเราว่า


ถึงตอนต้นเรื่องยุ่นจะยืนกรานว่าไม่กลัวความตาย เพราะชีวิตได้ทำสิ่งที่ชอบแล้วตายไป มันจะมีอะไรไปมากกว่านี้อีก
แต่ยุ่นก็คิดออกมาว่า


"ยังไม่ได้ทำอะไรอีกหลายอย่างเลย"


เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตเรา มันมีอะไรให้ทำมากกว่าแค่ทำสิ่งที่ชอบ
และ
นี่เป็นประโยคสั้นๆที่เราคิดอยู่เสมอว่า วันที่เราตายเราจะมีความรู้สึกนี้ให้น้อยที่สุด ถึง ไม่มีเลย



หวังว่าจะเจอกันอีก

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

[หนัง] สุนทรพจน์ของพระราชา


หรือ



 ต้องเกริ่นก่อนว่าตามมาจากนักแสดงนำ เพราะปกติเรามักจะคิดว่าหนังชีวประวัติไม่สนุก
แต่เรื่องนี้ทำเราเปลี่ยนทัศนคติเลยทีเดียว ถึงมันอาจจะเปลี่ยนทัศนคติคนอื่นไปนานแล้วก็เถอะ 5555 (หนังปี 2010)


   บางทีเรื่องเล็กๆอย่างการพูด ก็กลายมาเป็นเรื่องที่เป็นอุปสรรคชีวิต เพราะว่าชีวิตมี"การพูด"เป็นอาชีพ เหมือนคิงจอร์จที่หกที่จับพลัดจับพลูมาเป็นกษัตริย์ และในบรรดางานเซนต์เอกสารทั้งหมดทั้งมวลคือ การพูด เป็นกำลังใจในประชาชน/แถลงข่าวบลาๆ สิ่งที่เป็นปัญหาชีวิตของเขาคือ "พูดติดอ่าง" หรือ stammer (ได้ศัพท์เลย ดูหนังนี่ดีจริงๆ)


   ตอนเด็กๆเราเคยมีเพื่อนที่เป็นแบบนี้ คิดว่าคนที่เคยมีเพื่อนพูดติดอ่างน่าจะเป็นเหมือนกัน คือ ไม่เข้าใจ ทำไมไม่พูดชัดๆ บางคนอาจจะสงสาร บางคนอาจจะล้อเลียนเขาไปเลย ซึ่งอันที่จริงแล้วอาการพูดติดอ่างมีที่มาที่ไป อย่างในเรื่องนี้เสนอถึงการที่ในวัยเด็กถูกบังคับและฝืนในทำอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ เช่นบังคับเขียนมือขวา แม้จะถนัดซ้าย ดัดขาให้ตรง เพราะชาโก่ง แต่มันก็มีอีกหลายๆสาเหตุที่ทำให้เด็กสักคนกลายเป็นคนติดอ่าง



   เราชอบการนำเสนออารมณ์ของหนังเรื่องนี้ ตรงที่มันสร้างความกดดันให้กับผู้ดูไปด้วย ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเราก็พูดต่อหน้าคนจำนวนมากไม่เก่งหรือเปล่า เลยรู้สึกว่าอิน (ฮา)  แม้จะเป็นแค่การอ้ำอึ้ง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นต่อหน้าคนจำนวนมาก สายตาคาดหวังและผิดหวังของพวกเขาเหล่านั้น เป็นเหมือนทะเลของความกลัว ที่จะทำให้ใครสักคนชะงักการพูดไปได้อย่างง่ายดาย


   แต่ประเด็นสำคัญที่เรามองจากเรื่องนี้ได้ก็คือการที่เบอตี้(คิงจอร์จ)ได้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพูดมาช่วยเหลือ ถึงพวกเขาจะไม่ค่อยลงรอยกัน แต่สุดท้ายด้วยใจจริงของผู้รักษา เขาก็ยอมรับและปฎิบัติตาม แน่นอนว่ามันไม่ง่าย ไม่ใช่ว่าฝึกๆแล้วจะพูดได้คล่องปรื๋อตอนจบแบบหนังแฮปปี้เอนดิ้งทั่วไป แต่มันก็แสดงให้เห็นพัฒนาการด้านการพูดของเขา  แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราโคตรไม่ถนัดขนาดไหน ถ้าเราฝึกฝนมันอย่างตั้งใจ เราก็จะทำได้"ดีขึ้น"แน่นอน



   เราเลิกเชื่อคำว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้เรากลับไปเชื่อหรอก

แต่มันบอกเราว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน เราก็จะยิ่งพัฒนามากขึ้น"

เพราะ ความสำเร็จ ไม่ได้การันตีด้วยความพยายามเพียงอย่างเดียว มันประกอบไปด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ความพยายามอย่างสม่ำเสมอ การสนับสนุน และบางทีก็ต้องมีตัวช่วยเล็กๆน้อยๆ ทำให้ทางสู้ความสำเร็จมันเรียบขึ้น



หนังเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีในการนำเสนอองค์ประกอบทั้งหมดนั้น
ในแง่ที่ว่า อุปสรรคอย่างเดียวในชีวิตตอนนั้น คือ





ตัวเราเอง




ถ้าเคยตั้งเป้าทำอะไรสักอย่างแล้วสำเร็จ คิดว่าเราน่าจะมีความเห็นตรงกัน :D





วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[หนัง] ฉัน ฉัน


หรือ Ore Ore หรือ It's me, It's me เป็นหนังตลกสัญชาติยุ่นเมื่อปีก่อน

เข้าไทยหรือเปล่าไม่รู้
ตอนแรกดูเรทติ้งในimdbละได้น้อยมาก

แต่เราว่ามันสนุกนะ
ภาพแบบญี่ปุ่นๆ ฉากงามๆ

เนื้อเรื่องกวนตีนๆ มึนๆ แล้วค่อยๆเฉลยไป ถึงจะมึนๆไปหน่อย
แต่ดูแล้วรู้สึกสนุกดี

ไม่แน่ใจว่ามันจะสอนอะไรมั้ย
แต่ดูแล้ว

[สปอยล์]

เหมือนเป็นบทลงโทษของคนที่ทำชั่วไม่ขึ้น
พระเอกหลอกเงินจากแม่ผู้ชายคนนึง โดยสวมรอยเป็นผู้ชายคนนั้นทางโทรศัพท์
พวก "โทรศัพท์หลอกลวง" ประมาณนั้น

ตอนแรกขอ ล้านเยน คิดไปคิดมาลดได้ 900000 เยน

จากนั้นความวุ่นวายในชีวิตก็เริ่มต้นขึ้น
ตั้งแต่แม่ของที่หลอกกลายมาเป็นแม่เขาจริงๆ

แม่เขาก็ดันมีลูกอีกคนหนึ่ง ที่หน้าเหมือนเขาทุกอย่าง
แล้วก็เจออีกคนที่หน้าเหมือนเขาทุกอย่างอีกคน
ท่าทาง การพูดก็เหมือน (ดูแล้วมันน่ารักบอกไม่ถูก 55555)


ตอนแรกชีวิตเฮฮา หนุกหนาน
ไปๆมาๆ คนหน้าเหมือนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ
แล้วก็มีคนหน้าเหมือนที่ถูกฆ่าเยอะขึ้นเรื่อยๆ
เรียกว่าเป็นการ"ถูกลบ"
จนพระเอกเริ่มสติแตก อ้าว กูเป็นใครวะ ตกลงกูตายไปหรือยัง หรือยังไง
มีเจ๊สาวสวยมาเตือนสติชี้แนะ
แต่แล้วเจ๊ก็กลายเป็นพระเอกไปด้วยอีกคน กรี๊ดดดดดด (โคตรสปอยล์ - เราจะฝันร้ายมั้ยนะ)

เรื่องจบแบบที่ทุกคนเดาได้แหล่ะมั้ง แต่เฉลยปมไม่หมด บ้าจริง
แต่การดำเนินเรื่องโอเค ถึงจะนอกหลักเหตุผล และเล่นมุขให้ชีวิตงงก็เถอะ



มาพูดถึงตัวละครที่เจอเยอะที่สุดหน่อย
ฮิโตชิ นากาโนะ (คนขวา)
พระเอกเป็นคนที่ทำอะไรครึ่งๆกลางๆกล้าๆกลัวๆ
เดิมเป็นช่างภาพมืออาชีพ
แต่ไม่รู้ทำไมไปจบแค่พนง.ขายกล้อง
สุดท้ายพอจะตัดสินใจ ชีวิตก็เจอดอปเปลแกงเกอร์ทั่วเมือง โคตรซวย



-------------------------------------------------------------------------------------------------

เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย สารภาพตามตรงว่าตามดูเพราะนักแสดง (...)
แต่ได้อะไรดีๆ เช่นเรื่องแก้ปัญหา เรื่องการจมกับชีวิตประจำวันจนลืมเป้าหมาย

ไม่ได้ดูหนังยุ่นมานานแล้ว like fatherฯ ยังไม่ได้ดูเลย โฮรล อยากดู
เหมือนดูการ์ตูนหน่อยๆแฮะ ทั้งการเล่นมุข จังหวะมุข ท่าทางนักแสดง
หรือเพราะเราชินกับทางตะวันตกมากกว่าก็ไม่รู้
แต่ก็ดูได้ลื่น ไม่ได้แข็งอะไร

เอาเป็นว่าถ้าอยากหาเรื่องอะไรดูเครียดนิดๆขำหน่อยๆก็แนะนำค่ะ..
ถ้าเจอแผ่นจริงก็อยากจะสอยค่ะ...

ป.ล.
ชอบประโยคนึง ไม่ใช่แกนเรื่อง(?)เท่าไหร่อ่ะนะ ...


"บนโลกนี้มีคนทำงานอยู่สองประเภท คือ ประเภทที่อยากลาออก และประเภทที่ไม่อยากลาออกจากงาน"

-เจ๊ซายากะได้กล่าวไว้

มันดูพูดง่ายนะ
แต่ชีวิตเราก็ไม่ได้มีทางเลือก หรือเรามีทางเลือก แต่เราไม่ค่อยกล้าเลือก

...ก็ขอปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตก่อนละกัน





วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[อนิเม] ช่วงเวลาของอีฟ

Eve no jikan
อนิเมสั้นๆหกตอนจบ
เรื่องเล่าของมนุษย์กับแอนดรอยด์

...จะว่าไงดี ไม่ได้ดูอนิเมแนว feel good มาสักพักแล้วมั้ง
อยู่ๆก็ไปสุ่มจากลิสต์แล้วก็มานั่งดู
ที่เอามาพิมพ์เพราะรู้สึกว่ามันคุ้มค่าเวลาดู
อนิเมแบบไม่เสพตัวละคร ไม่เสพความน่ารักมุ้งมิ้ง แต่เป็นเพียงเรื่องเล่าง่ายๆ



คนในเรื่องเกี่ยวพันกันด้วยร้านกาแฟ

ความพิเศษคือร้านกาแฟนี่มีกฎว่าห้ามแบ่งแยกคนกับแอนดรอยด์





ชอบเพลงเนิบๆประกอบเรื่อง
ชอบภาพ ที่เหมือนจะดูแข็งๆไปนิดนึง แต่ก็สวยดี
มุมกล้องทำกึ่งหนัง แบบอาร์ทๆ ให้ความรู้สึกอินไปกับเรื่องอีกแบบ





มีมุขไร้สาระแทรกเป็นระยะๆ แป้กมั่งฮามั่ง


เรื่องนี้คงไม่ต่างกับเรื่องอื่นๆที่จุดประเด็นให้เราคิดว่าคนกับแอนดรอยด์จะอยู่ร่วมกันได้จริงเหรอ

ความรู้สึกหรือสิ่งที่แสดงออกต่างๆคืออะไร

ความรักคืออะไร การใช้ชีวิตคืออะไร



ไม่รู้สิ...มันเป็นเรื่องที่ดูแล้วหอมกลิ่นกาแฟอย่างบอกไม่ถูกแฮะ..

ดำเนินเรื่องสั้นๆเหมือนเวลาเข้าไปนั่งอยู่ร้านกาแฟ
แต่ว่ามีเรื่องราวของคนในนั้นอัดแน่นอยู่มากมาย
...พอออกมามันก็จบ กลิ่นกาแฟกับเรื่องไม่ได้ตามออกมา
แต่มันเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ทำให้รู้สึกอยากกลับเข้าไปอีก

ประมาณนั้นละมั้ง


ป.ล.ถ้ามีภาคต่อก็น่าจะดีสิน้า..

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

[หนัง] ชายขอบของวันพรุ่งนี้

หรือจริงๆคือ

Edge of tomorrow



รีวิวแบบขี้เกียจๆ

- ไม่รู้ทำไมแต่รู้สึกตลกบ่อยมาก ทั้งที่ไม่ใช่หนังตลก
- ตอนแรกทำเอากลัว นึกว่าจะสยองขวัญ เละ ทั้งเรื่อง
- ความประทับใจ (ในแง่ลบ) แรก คือนางเอกกากมาก ที่เคยอ่านในการ์ตูนเทพแบบสุดๆไปเลย
- เป็นหนังที่เรียกได้ว่า สนุก แต่ไม่เทพอย่างที่คาดหวัง ( ฉันหวังอัลไล... )
- ทอมครูซหน้าเด็กมาก ตอนเล่นบทเป็นคุณลุงใสๆก็ตลกดี
- นางเอกก็โหดดี ตั้งใจทำเพื่อชาติดี น่าเอาไปฉายฟรีแท----
- ไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลที่อยู่ๆพระเอกโดนโยนไปในกองทัพ
- ชอบการนำเสนอเรื่องที่ต้องย้อนซ้ำๆ ไม่ได้น่าเบื่อแต่อย่างใด ...มันเลยฮาดีมั้ง
- ปมดราม่าก็ใช้ได้ อธิบายลักษณะนิสัยตัวละคร มันรู้สึกเศร้าแบบลึกล้ำ...
- แอคชั่นก็สนุกดี แต่นางเอกโกงมีดาบคนเดียว 5555 ก็เข้าใจว่าหนังคงอธิบายละเอียดไม่ได้เท่าไหร่

จำอะไรไม่ค่อยได้แล้วแฮะ แต่เป็นหนังแอคชั่นไซไฟเรื่องที่ชอบเรื่องนึง ปกติไม่ชอบดูแนวนี้ 5555
ถ้าแผ่นออกก็น่าดูอยู่นะ




คราวหน้าจะต้องรีวิวเจ๊มาลีให้ได้...
เจอกันเอนทรี่หน้า :3



วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

[หนัง] คุณหมอแพทซ์ อดัม



     หนังเรื่องนี้เป็นหนังคนที่...

อยากเป็นหมอ 

กำลังเรียนหมอ 

จบหมอแล้ว 

หรือไม่ใช่หมอ 

..ก็น่าดู


(หนังเก่า 1998 อีกแล้วค่ะ)


            ตั้งแต่เริ่มเรื่อง.... อดัมเป็นคนธรรมดาที่เข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลโรคประสาทเพราะพยายามฆ่าตัวตาย แต่ค้นพบความสนุกในการคุยกับคนไข้คนอื่น รับฟังปัญหาของพวกเขา เขาพบสิ่งที่อยากทำที่สุดในชีวิตแล้ว นั่นคือการช่วยเหลือคนอื่น

             ภาพตัดมาที่สองปีถัดมา อดัมเป็นนศพ.ปี 2 ที่แหกทุกกฏ เนียนเข้าไปคุยกับคนไข้ในรพ. เล่นด้วย สร้างความสนุกสนานเฮฮา และวุ่นวาย จนโดนคณบดี(มั้ง) เขม่นอยู่บ่อยๆ ช่วงแรกๆเขาก็รอดตัวไปได้ เพราะเขาคือหนึ่งในนศพ.ที่คะแนนสูงสุด !! (จะเกรียนต้องเก่งด้วยนะจ้ะ) แต่เมื่อความวุ่นวายทวีคูณ เพื่อนบางคนก็ใส่ร้าย บางคนก็ตีตัวออกห่าง ด้วยคำพูดว่า

"ฉันมาเรียนแพทย์ เพื่อจะเป็นแพทย์ที่ รักษาพวกเขาให้หาย ไม่ได้ต้องการมาเป็นตัวตลกให้คนไข้"

อดัมก็จะเถียงกลับประมาณ
"แล้วทำไมพวกเราต้องรักษาแต่โรค แค่ยืดวันตายคนไข้เหรอ หน้าที่ของแพทย์ควรจะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตสิ ทำให้พวกเขามีความสุขด้วยสิ"

              เรื่องนี้คงไม่เล่ายาว เพราะความสนุกของเรื่องอยู่ที่ความบ้าของตัวเอก ที่ไม่แคร์กฏและทำทุกอย่างได้เพื่อคนไข้ แพทซ์ใส่เสื้อเชิ้ตสีสันฉูดฉาดอยู่เสมอ เอาของในร.พ.มาเล่น เล่าเรื่องตลก และเฟรนด์ลี่ระดับเทพ จนทำให้คนไข้หลายๆคนเปิดใจให้เขา แม้แต่คนไข้ที่ก้าวร้าวและปิดใจที่สุด ก็ถูกแพทซ์ทลายกำแพงได้ด้วยความพยายาม แต่ก็มีหักมุมบางอย่างที่ทำให้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่าชีวิตหมอบ้าบอคนนึง แสดงให้เห็นว่าแพทซ์ก็มีมุมเครียด เศร้าเหมือนคนทั่วไป

              ช่วงที่ดูแล้วชวนคิดที่สุดคือในห้องประชุมที่จะตัดสิทธ์การเรียนต่อของแพทซ์ อันนั้นจะแสดงแนวคิดออกมาชัดที่สุด แพทซ์อาจจะเป็นเหมือนหมอหน้าใหม่ ที่แรกๆก็ไฟแรง ปฏิบัติกับคนไข้อย่างดี ทุ่มเทชีวิตให้ มีปฏิสัมพันธ์ มีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกัน ซึ่งตามจรรยาบรรณแพทย์มักจะไม่ให้สนิทกับคนไข้เกินควร ในเรื่องเคร่งเรื่องระยะระหว่างคนไข้-หมอ แบบมากๆ จนบางทีแพทย์ก็ลืมปฏิบัติกับคนไข้ในฐานะมนุษย์ไปหรือเปล่า ?



                ในเรื่องจะทำให้เราตั้งคำถามกับนิยามแพทย์อยู่เรื่อยๆ ตกลงแล้วแพทย์ต้องปฏิบัติตัวเองยังไงกันแน่ ตั้งใจเรียนอย่างเดียวมันคงไม่ใช่หรอก แล้วการทุ่มเทแบบแพทซ์ขนาดนี้ล่ะ ความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือคนอื่นใช่มั้ย คือเหตุผลที่ทำคนเรียนแพทย์อยากเป็นแพทย์  หรือเพราะเงิน ? เพราะเกียรติ ?

                 ......สุดท้ายเราว่าแพทซ์ไม่ใช่คำตอบของการเป็นแพทย์ซะทีเดียว อุดมการณ์และการทำอุดมการณ์สำเร็จของเขาเป็นเรื่องที่ดี น่ายกย่อง (สุดท้ายก็มี Gesundheit! Institute ได้จริงๆ เจ๋งมาก) แต่การจะให้ลุกขึ้นมาทำแบบเขานั้นคงเป็นไม่ได้แน่ ....แต่ละคนคงมีวิธีการ มีเส้นทางที่ต่างออกไป สิ่งที่จะได้จากเขาก็คงเป็นแรงผลักดัน ที่ทำให้เชื่อว่าการช่วยเหลือคนอื่นนั้นมันมีคุณค่า แม้ผลตอบแทนมันจะมีน้อย หรือไม่มี หรือได้รับอะไรแย่ๆกลับมาแทน แต่ถ้าทำให้สิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าดี อย่างน้อยๆเราก็จะไม่เสียใจภายหลังแน่ๆเมื่อหันกลับมามองย้อนดู :)


                   สรุปแล้ว ก็ไม่ใช่หนังสนุกมากมายอะไร ดูเรื่อยๆ มีสุข มีเศร้า เราว่าเป็นหนังที่ดูแล้วได้แรงบันดาลในการคุยกับมนุษย์คนอื่นดี การสื่อสารกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น แค่เรื่องเล็กๆน้อยก็ทำให้คนอื่นรู้สึกดีได้ ได้ทบทวนและถามตัวเองถึงอาชีพแพทย์ คิดว่าถ้าขาดแรงบันดาลใจเมื่อไหร่ คว้ามาดูอีกรอบก็คงได้อะไรดีๆ....กลับไปสู้กับโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง  
             



คงจะเจอกันเอนทรี่หน้า

...หลังจากนี้กะว่าจะขุดแต่หนังเก่าๆมาดู 
หลังจากระเบิดมวลมหาดีวีดีที่บ้านออกมา 55555


ป.ล.เอ้อะ โรบิน วิลเลี่ยมอีกแล้วววววววว