วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

[หนัง] นักอัพนมอิสระ

เรื่องดังกล่าวคือ ฟรีแลนซ์ (เต๋อ-นวพล)

เราแอบให้คำนิยามกับเรื่องนี้ว่า "หนังโลกสีเทา"
ซึ่งมีความหมายว่า หนังที่แสดงชีวิตจริงนั่นแหล่ะ  (ถึงจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่เราก็นิยามไปแล้วว่าโลกใบนี้เป็นสีเทาๆ แบบปนมาเจนต้าบ้าง เหลืองบ้าง เป็นสีตุ่นๆ)


หนึ่งในฟรีแลนซ์เสนอให้เรามองถึงเรื่อง "คนที่มีความสุขกับการทำงาน" ในแง่ที่ ชีวิตเขาไม่ได้มีความสุขกับอย่างอื่นนอกจากงานเลย - ถึงขั้นหมกมุ่นกับงาน ชีวิตอย่างอื่นก็ไม่มีอีกเลย มีแต่ความคำว่างาน

เราไม่ได้จะมาบอกว่ามันไม่ดีนะกับชีวิตแบบนั้น เพราะในช่วงชีวิตหนึ่งเราก็มีอะไรที่คล้ายๆแบบนั้น การสนใจแต่งาน อยู่กับตัวเอง ทำสิ่งที่ใฝ่ฝัน มันไม่ทำให้ชีวิตเงียบเหงาหรอก ..จนกว่าจะวางงานนั่นแหล่ะ ความเงียบหรือพื้นที่ว่างมันถึงจะกลืนเข้ามา แผ่ขยายอาณาเขตตัวเองเข้าในตัวเรา วันที่เราทำอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากงาน และไม่สามารถมีความสุขได้ ตรงนั้นที่จะกลายเป็น "ปัญหา" ในชีวิตขึ้นมา

นอกจากนี้แล้วความทุ่มเทให้งานของยุ่นเป็นเรื่องที่เราก็รู้สึกเหมือนโดนแทงใจ "มันไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เรารับงานมา มันก็ต้องเสร็จ แค่นั้นแหล่ะ" ยิ่งชีวิตที่การทำงานแนวนั้นของเราส่วนใหญ่เป็นงานฟรี งานกิจกรรม ถึงจะเป็นของเด็กๆก็เถอะ แต่ความรู้สึกหนักอึ้งของการรับผิดชอบ คิดแค่ว่ามันต้องเสร็จ ยังไม่ได้นึกถึงเงินหรืออะไรเยอะแยะ อย่างที่ยุ่นลืมกระทั่งไปขึ้นเงิน คือ บางทีเราไม่ทันคิดหรอกว่าผลของการทำงานมันจะมีอะไรต่อ แต่การทำให้เสร็จถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

ไอ้ "ไม่ทันคิด" นี่แหล่ะ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดึงเราให้ติดตามจนจบ

เพราะไม่ทันคิดถึงผลที่ตามมา เลยโหมงานมากมาย จนเป็นโรคอะไรไม่รู้
เพราะไม่ทันคิด รู้ตัวอีกที ข้างตัวเลยแทบจะไม่เหลือใครแล้ว
เพราะไม่ทันคิด รู้ตัวอีกที ก็หายใจไม่ได้เสียแล้ว

ใช่ แม้ว่ายุ่นจะมีเพื่อนคนสำคัญที่คอยเคียงข้างเวลาลำบาก แต่ว่าชีวิตของเพื่อนคนสำคัญไม่ได้อยู่กับเราได้ตลอดเวลา วันหนึ่งเขาก็ต้องจากเราไป - เราไม่ได้พูดถึงการสนับสนุนให้มีคู่หรือแต่งงานอะไรแบบนั้นนะ แค่เสนอว่ายุ่นนั้นไม่มีสังคมอื่นเลย พอเวลาเขานึกย้อนกลับมาจริงๆ

เหมือนว่าเขาจะแทบไม่เหลือใครเลย


หมออิมเป็นคนกระชากเขาออกจากโลกของตัวเอง
ในสัญลักษณ์ของ "หมอ" และ "คนที่ชอบ"
คือสองอย่างที่เขาละทิ้งไปนานแล้ว นั่นคือสุขภาพ และความรู้สึกของตัวเอง

รายละเอียดสนุกๆของการพบหมอ คิวยาว ความจริงรัฐและเอกชน ฯลฯ หนังก็เล่าออกมาได้ดี (แม้ว่าหมอจะดูกล้าจับรอยโรคต่างๆมากไปหน่อยก็เถอะ)


หมอเป็นอาชีพที่โคตรตรงข้ามกับฟรีแลนซ์ - โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์กราฟฟิคละกัน
(แม้จะเป็นสองอาชีพที่เราใฝ่ฝันทั้งคู่ก็ตาม)
ใครๆก็ว่ามั่นคง ใครๆก็ว่าหนักแต่จะสบายภายหลัง ใครๆก็ว่างั้นงี้
ในขณะเดียวกันก็มีจุดร่วมกันมากมาย เรียกว่าเหมือนเลยยังได้ ถ้าเรามองข้ามรูปแบบการทำงานไป



ส่วนเรื่องที่จะต้องไปจีบหมอมั้ย หรือควรกลับบ้านไปเยี่ยมแม่หรือเปล่า หรือบลาๆ ที่หนังให้ทุกคนไปคิดต่อเอาเองว่า ชีวิตตัวเองจะเหมาะกับช้อยส์แบบไหน - ที่แน่ๆคือควรรักษาสุขภาพตัวเองบ้าง เป็นสิ่งที่ควรทำจริงๆนะเราว่า


ถึงตอนต้นเรื่องยุ่นจะยืนกรานว่าไม่กลัวความตาย เพราะชีวิตได้ทำสิ่งที่ชอบแล้วตายไป มันจะมีอะไรไปมากกว่านี้อีก
แต่ยุ่นก็คิดออกมาว่า


"ยังไม่ได้ทำอะไรอีกหลายอย่างเลย"


เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตเรา มันมีอะไรให้ทำมากกว่าแค่ทำสิ่งที่ชอบ
และ
นี่เป็นประโยคสั้นๆที่เราคิดอยู่เสมอว่า วันที่เราตายเราจะมีความรู้สึกนี้ให้น้อยที่สุด ถึง ไม่มีเลย



หวังว่าจะเจอกันอีก